แสงแห่งบุญ คืออะไร

      มีการศึกษามากมายในเชิงวิทยาศาสตร์ และมีองค์ความรู้ และศาสตร์ความรู้มากมายที่บ่งบอกถึง การมีอยู่ของแสงที่อยู่รอบร่างกายสิ่งมีชีวิต ทั้งของมนุษย์ และสัตว์ หรือที่มักเรียกกันว่า “ แสงออร่า ”

      มีศาสตร์เก่าแก่โบราณอายุหลายพันปี ที่มีการศึกษาแสงสีรอบร่างกายมนุษย์ ก็คือศาสตร์ที่เรียกว่า “ พลังจักรวาล ” ตัวผมเองก็ได้มีโอกาสเรียนวิชา “ พลังจักรวาล ” กับ คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค เรียกได้ว่า ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์เลยครับ

      ศาสตร์พลังจักรวาล กล่าวถึงพลังงาน จักระทั้ง 7 ของมนุษย์ ว่าแต่ละจักระนั้นจะมีแสงสีอะไร และทำหน้าที่อะไร สามารถชาร์จพลังจักระและรับพลังคอสมิก และพลังงานต่างๆจากจักรวาลเข้ามาได้ด้วย

      แล้วก็ยังมีศาสตร์ในการศึกษาเรื่องของ ความถี่ของคลื่นสมอง ที่แปลความเป็นแสงสีต่างๆ จากอารมณ์และความรู้สึก สอดคล้องกับคลื่นความถี่ของสมองที่เปลี่ยนแปลงไป

      แสงออร่า ปัจจุบันก็มี การพัฒนาเทคโนโลยีในการถ่ายภาพ เรียกว่าการถ่ายภาพ “ เคอร์เลี่ยน ” ( Kirlian Photography ) เพื่อให้เห็นแสงออร่ารอบๆร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่างๆ

      คนที่ชอบศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ก็จะเข้าใจว่า สรรพสิ่งทุกอย่างจะมีอนุภาคที่เล็กที่สุดที่เรียกว่า “อะตอม” รอบๆอะตอมก็จะมีอิเล็กตรอนวิ่งอยู่ การหายใจของคนเราอากาศก็จะมีประจุไฟฟ้า เมื่อเราหายใจเข้าหายใจออก จะมีการถ่ายเทประจุไฟฟ้ากับร่างกายของสิ่งมีชีวิตตลอดเวลา

      ร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีการสื่อสารต่างๆด้วย “ ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ” เป็นการสื่อสารด้วยประจุไฟฟ้า เกิดเป็นพลังงานสนามไฟฟ้า เเละพลังงานสนามเเม่เหล็ก การวัดค่าหรือวัดผลใดๆกับร่างกายสิ่งมีชีวิต ก็จะใช้การวัดประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น

      ไม่ว่าจะเป็นการวัดคลื่นสมอง คลื่นหัวใจ การทำงานต่างๆ จะตรวจหาคลื่นการเปลี่ยนแปลงของ “ สนามไฟฟ้าชีวภาพ ” ในสิ่งมีชีวิต และแปรความเพื่อแสดงผลเป็นค่าต่างๆ

      สนามไฟฟ้าชีวภาพ นี้จะมีการเปลี่ยนแปลง และสั่นสะเทือนของความถี่ตลอดเวลา แปรผันตามความถี่ของคลื่นสมอง โดยสมองสิ่งมีชีวิตสั่งการโดยการนำกระแสประสาทด้วย “ ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ” เป็นคลื่น ไฟฟ้าประจุบวก ประจุลบ สลับกันไป เกิดเป็นสนามไฟฟ้าและสนามแม่ เหล็กขึ้น

      การพัฒนาเครื่องมือถ่ายภาพรังสีออร่ารอบร่างกายสิ่งมีชีวิต ก็จะอาศัยการวัดการสั่นสะเทือนของสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตามคลื่นความถี่ของอิเล็กตรอนรอบๆสิ่งมีชีวิตนั้นๆ แสดงผลเป็นแสงสีต่างๆ และแปรความบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้นๆ

      ส่วนในทางพุทธศาสนาได้มีการกล่าวถึง “ ฉัพพรรณรังสี ” คือแสงสีที่แผ่ออกจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 6 สีคือ

      สีนีละ – สีเขียว เหมือนดอกอัญชัน คือสีน้ำเงินนั่นเอง

      สีปีตะ – สีเหลือง เหมือนหรดาลทอง

      สีโรหิตะ – สีแดง เหมือนแสงตะวันอ่อน

      สีโอทาตะ – สีขาว เงินยวง

      สีมัญเชฏฐะ – สีแสด เหมือนหงอนไก่

      สีประภัสสร – สีเลื่อมพราย แก้วผลึก ( คือสีทั้ง 5 ข้างต้นรวมกัน )

      การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ จึงมีความสอดคล้องกับพระพุทธศาสนา อย่างเป็นเหตุเป็นผล การฝึกสัมมาสมาธิในพระพุทธศาสนานั้น ได้อธิบายถึงลำดับขั้นของสมาธิด้วยการเพ่งอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปที่เรียกว่า “ ฌาน ”

      “ ฌาน ” ยิ่งสูงมาก จิตยิ่งมีความละเอียดมาก ในทางวิทยาศาสตร์ มีผลการศึกษาวิจัยว่า ระดับของสมาธิจะมีผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงคลื่น ความถี่สมอง ยิ่งมีสมาธิสูงขึ้น ความถี่สมองยิ่งลดลง

      มีการศึกษาว่า ความถี่สมองที่อยู่ในช่วง 4-8 เฮิร์ต ซึ่งเป็นสมาธิระดับฌาน จะมีแสงสีขียว ส้ม หรือแสด ปรากฏรอบร่างกายผู้ทดสอบ และถ้าทำสมาธิขั้นที่สูงขึ้น ความถี่ก็จะอยู่ในช่วง 1-4 เฮิร์ต จะมีแสงฟ้าคราม หรือม่วง ปรากฏรอบร่างกายผู้ทดสอบ

      ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า แสงสีรอบๆร่างกาย สิ่งมีชีวิต จะแปรผันตามคลื่นความถี่สมอง และแสดงออกสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะนั้น

      ฉะนั้นเมื่อจิตที่ถูกฝึก ถูกขัดเกลาแล้ว จิตจะผ่องใส เป็นจิตละเอียด เป็นจิตที่เป็นสมาธิ หากมีการกำหนดจิตมุ่งมั่นในกระทำสิ่งใดได้ก็จะปรากฏแสงสีขึ้นรอบรอบกายของมนุษย์ขึ้นตามอารมความรู้สึก ณ ขณะนั้น เรียกว่าเป็น “ แสงแห่งบุญ ” นั่นเอง

      ขณะที่เราไปทำบุญ จิตมีความมุ่งมั่น จิตมีการน้อมนำเกิดเป็นสมาธิ สมาธิจะส่งผลต่อคลื่นความถี่สมอง คลื่นความถี่สมองที่เปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อแสงสี ตามลำดับขั้นของความถี่ ณ ขณะนั้นๆ แสงแห่งบุญจึงเกิดขึ้น ณ ขณะที่เรากำหนดจิตกระทำบุญนั้นๆ

      หากท่านใดหมั่นฝึกฝนขัดเกลาจิตใจให้เป็นสมาธิอยู่เสมอ และน้อมนำจิตในบุญกุศลต่างๆ แสงแห่งบุญนี้ก็จะแผ่รัศมีเป็นออร่ารอบๆร่างกายของผู้นั้นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

      ส่วนการที่จะมองเห็นรัศมีออร่าของผู้อื่นด้วยตาเนื้อนี้ ต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิระดับฌาน 4 ขึ้นไป ถึงจะสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ทางตา และสามารถมองเห็นรัศมีออร่าของผู้อื่นได้ครับ