เมื่อเข้าใจความเป็นจริงและทำใจ ยอมรับ ความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีอะไรคงทนตั้งอยู่ตลอดไป ทุกอย่างต้องเสื่อมสลาย ฉะนั้นมาออกจากกองทุกข์กันดีกว่า ผมอยากอธิบายถึงคำๆหนึ่งคือคำว่า “ โยนิโสมนสิการ ”
โยนิโสมนสิการ เป็นภาษาบาลีอ่านว่า: โย-นิ-โส-มะ-นะ-สิ-กาน หมายถึง การพิจารณาอย่างละเอียด…รอบคอบ…ถี่ถ้วน…เป็นเหตุเป็นผลอย่างต่อเนื่อง
ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับ ความไม่ประมาท เพื่อความเจริญทางปัญญา เป็นการพิจารณาอย่างแยบคายต่อเนื่อง และเป็นเหตุเป็นผล เพื่อให้เกิดปัญญาในการดำเนิชีวิต
ทำไมผมถึงอยากให้ทุกท่านได้ลองใช้วิธีการนี้ในการทำเข้าใจ และเรียนรู้ความทุกข์ของตัวเอง เพราะคนส่วนใหญ่ได้แต่ฟังๆกันมา ทำตามกันมา เขาเล่าว่า เขาบอกว่า โดยขาดการหาสืบค้นต้นตอ ขาดการคิดแบบแยบคาย แบบวิเคราะห์แยกแยะด้วยปัญญา
คิดจากเหตุไปหาผล… คิดจากผลไปหาเหตุ… คิดแบบเห็น ความสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่…คิดแบบอะไรเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ ด้วยปัญญาและความเป็นเหตุเป็นผล
เช่น เขาเล่าว่า…เขาบอกต่อๆกันว่า… อยากชีวิตดีให้ไปทำบุญใส่บาตร ทำบุญใส่บาตรเยอะๆ เพื่อจะได้มีอาหารของตัวเองในภพหน้า ทำบุญเพื่ออยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
ทำบุญแบบไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าบุญคืออะไร ทำบุญแบบทุ่มเท โหมบุญด้วยเหตุที่ว่าอยากขึ้นสวรรค์ ทำบุญเพื่ออยากไปสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เพราะเขาเล่าว่า… เพราะเขาบอกต่อๆกันมา… จึงทำโดยที่ขาดการคิดวิเคราะห์แบบโยนิโสมนสิการ
แต่การพิจารณาแบบแยบคายนี้ คิดด้วยเหตุและผล บุญที่จะเกิดขึ้น เกิดจากจิตใจที่น้อมนำ ที่อยากจะให้แบ่งปันในของที่ตนมี “ แบ่งปันด้วยเมตตาให้ผู้อื่นได้สุขแบบที่เราสุข ”
ต้องพิจารณาให้แยบคายอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อเนื่องไปเช่น การใส่บาตรเราอยากใส่บาตรเพราะอยากให้พระสงฆ์ได้ฉันภัตตาหาร เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงคงอยู่
เพื่อให้มีกำลังให้ชีวิตคงอยู่ในการประกอบกิจของสงฆ์ประกอบกิจอันเป็นกุศล พระสงฆ์ได้เผยแผ่ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เทศน์โปรดญาติโยมให้มีปัญญาสืบไป
มิใช่ใส่บาตรเพื่ออยากได้บุญ เพื่อให้สอบติด เพื่อให้เรียนเก่ง เพื่อให้พ้นทุกข์จากเจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้ขึ้นสวรรค์ แบบนี้คือไม่มีเหตุไม่มีผล