ระดับจิตของเราอยู่ตรงไหน

      เริ่มต้นที่นี่…สิ่งสำคัญที่สุดของการ“ ฝึกขัดเกลาจิตใจ ”ของตนเองทุกท่านต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้ระดับของจิตของเรานี้อยู่ที่ระดับใด…ควรต้องขัดเกลาจิตมากน้อยแค่ไหน…บางคนอาจรู้สึกว่าฉันก็เป็นปกตินี่ทำไมต้องขัดเกลา… แต่นั่นคือปกติของโลก

      ปกติของการหลงโลก ปกติของการรัก โลภ โกรธ หลง ปกติของความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากสำเร็จ อยากเลี้ยงชีพ นี่คือความปกติของสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลาย ถ้ารู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ ก็ควรเริ่มฝึกขัดเกลาจิตกันครับ

      ฉะนั้นลองดูตารางนี้ครับ เริ่มต้นล่างสุด ในกลุ่มอกุศลจิตแบ่งเป็น 3 ส่วน ขั้นรุนแรง…ขั้นกลาง…และ ขั้นอ่อน…จิตที่ร้อนที่สุดเกิดจากโทสะ จริตลองดูครับว่าเรารู้สึกอย่างนี้ไหม หักห้ามใจไม่อยู่ ต้องด่า ต้องว่า แสดงออกกายวาจา หรืออาจจะต้องตบตีกันทันที ตีแล้วสู้กัน แล้วก็ยังแค้นในจิตใจว่าเดี๋ยวต้องเอาคืน ลักษณะนี้คือ“จิตที่ร้อนที่สุด”เรียกว่าเป็น “ อกุศลจิต ”ถ้าเรามีอาการอย่างนี้ต้องรีบฝึกจิตและแก้ไขนะครับ

      เลื่อนขึ้นมาอีกเป็นร้อนขั้นกลาง เเละร้อนขั้นอ่อน จิตที่ร้อนนี้ เกิดขึ้นจาก “ โทสะเป็นมูลเหตุ ”ขยับขึ้นมาอีก เป็นจิตที่เรียกว่ามี“ โลภะเป็นมูลเหตุ ” ลักษณะนี้ เป็นคนที่ไม่ได้โกรธโมโหรุนแรงแล้วตบตีนู่นนี่นั่น แต่จะเป็นคนที่มี “ ความอยากได้อย่างแรงกล้าจนห้ามใจไม่อยู่ ”

      อยากได้แล้วต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา แม้ผิดศีลธรรมก็ตาม ยึดมั่นถือมั่นตัวตนอย่างสูงเช่น ไปขโมยเขามา ไปแย่งชิงเขามา ใช้กำลังเข้าแย่งชิง ไม่ได้เป็นความโกรธนะครับ แต่เป็นความอยากได้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นอกุศลจิตที่มี“ โลภะเป็นมูลเหตุขั้นรุนแรง ”

      ขยับขึ้นมาก็เป็นขั้นกลางแล้วก็ขั้นอ่อนอันนี้ยังเป็นจิตที่เรียกว่าอกุศลจิตก็จะมี 3 ขั้นเหมือนกัน ถัดขึ้นมาอีกนะครับเรียกว่า อเหตุกจิตเป็นกลุ่มจิตที่มี“ โมหะเป็นมูลเหตุ ”

      โมหะเป็นความหลงความหลงยินดีกับสิ่งเหล่านั้น หลงใหล หลงมาก หลงกับทรัพย์…หลงกับบ้านหรูๆ…หลงกับของหรูหรา…หลงอยากขับรถคันแพง…หลงกับสินค้าแบรนด์เนม…

      ถัดขึ้นมาก็เป็น ความหลงทางกลางมีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ก็ยังมีความหลง มีความชอบอยู่ แต่ยังมีปัญญาบ้าง ควบคุมจิตใจได้บ้าง ลำดับจิตที่สูงขึ้นมาอีกเรียกว่าเป็น“ มหากุศลจิต ”

      เป็นจิตที่ อยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้พระธรรม

เป็นจิตที่ถูกฝึก ถูกขัดเกลาและพัฒนาได้ง่ายเป็นจิตที่พร้อมฝึกขัดเกลาไม่ได้มีความโกรธ ที่รุนแรง ไม่ได้มีความอยากได้ที่รุนแรง ไม่ได้มีความหลงที่รุนแรง แต่เป็นจิตใจกลางกลางที่มีความเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา และอุเบกขา

      เป็นจิตที่เกิดจากความศรัทธาและให้ทานรักษาศีลไม่ได้อยากได้ของใคร มีเท่าที่เรามีอยู่แบบพอเพียงถ้าได้ก็ยินดีด้วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหลังจากนี้ในกลุ่ม“มหากุศลจิต ”เป็นดวงจิตที่ฝึกสมาธิปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจิตเป็นองค์ฌานได้ ตามลำดับขั้น สามารถละวางได้ ปล่อยวางได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นมรรคผลนิพพานในระดับมนุษย์

      เมื่อสูงขึ้นมาอีกเรียกว่าเป็นจิตที่เป็น “ สมาธิขั้นฌาน ”จิตที่เย็นผ่องใส สามารถรวบรวมจิตให้เป็น“ ฌาน ” ได้ในองค์ฌานอย่างรวดเร็วก็มีขั้น“ รูปฌาน 4 ”ขั้น และก็ “ อรูปฌาน 4 ”ขั้น โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระปฏิบัติที่สามารถแยกจิตออกเป็นองค์ฌาน ในขณะที่จิตดำเนินชีวิตปกติได้ด้วย 

      สูงสุดของลำดับจิตเรียกว่าเป็น “ โลกุตตรจิต ” หรือจิตที่ดับกิเลสได้ เครื่องชี้วัดในการดับกิเลสก็คือ “ สังโยชน์ 10 ” ถ้าสามารถละสังโยชน์ได้ตามลำดับขั้น จิตก็จะเป็นจิตระดับสูง เป็นจิตที่ละเอียดเป็นจิตที่เย็น

      จิตที่เย็นมีตั้งแต่ระดับ โสดาบัน…สกทาคามี… อนาคามี…และเป็นพระอรหันต์…ทั้งหมดนี้ลองดู ตรวจดูระดับจิตของตัวเองนะครับว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน จะได้รู้ว่า เราควรแก้ไขอะไรควรฝึกฝนอะไร เพื่อให้เปลี่ยนจากจุดที่เป็นอยู่ไปจุดที่ดีกว่า… รวมถึงระงับยับยั้งความทุกข์ต่างๆ ไม่ว่าเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจ และสามารถละวางจากกิเลสได้มากขึ้น