ในสมัยพุทธกาลหรือในสมัยกาลก่อนๆที่ยังไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่มีกระดาษหรือสมุดในการจดบันทึกต่างๆ สิ่งที่จะทำให้ผู้คนได้ยึดเหนี่ยวจิตใจก็คือ “ การสร้างวัตถุมงคล ”
“ เปรียบเสมือนลายแทงแห่งธรรมที่เป็นปริศนาธรรมให้ศึกษา ” การสักเสกเลขยันต์ต่างๆ เป็นศาสตร์แห่งมนต์ตรา เป็นปัญญาที่เหล่าบรรดาครูบาอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาจิตแก่กล้าได้มอบไว้ให้ญาติโยมลูกหลานได้ศึกษา และเคารพบูชาตามกำลังศรัทธาความเชื่อ
พรหมวิหาร
การมอบวัตถุมงคลให้แก่กันเรียกว่า “ ให้มีพระอยู่ในใจ ” ให้น้อมระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามในสมัยโบราณเช่นในการออกรบต้องมีกำลังใจ
บ้างมีผ้ายันต์โพกหัว… บ้างมีเสื้อยันต์… บ้างมีการสักยันต์ลงบนแผ่นหลัง… หน้าอก… ตามร่างกายต่างๆ… หรือพกตะกรุด… พระเครื่องติดตัว… เป็นขวัญกำลังใจให้น้อมระลึกนึกถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้า หากน้อมจิตและเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว พุทธานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ก็จะบังเกิดขึ้น
เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วก็จะจัดทำพิธีพุทธาภิเษก ด้วยการสวดพุทธาภิเษก ที่เรียกกันว่านั่งปรกเพ่งกระแสจิตลงไปที่วัตถุมงคลต่างๆโดยการสวดก็จะสวดพรรณนาคุณ พระพุทธเจ้าพุทธประวัติหรืออานุภาพของพระพุทธเจ้า
เป็นการแสดงถึงความรู้สึกศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ในการทำ “ พุทธาภิเษก ” นี้อาจจะทำโดยพระสงฆ์เป็นหมู่คณะ บางครั้งมีเพียงพระสงฆ์ผู้มีอภิญญาเพียง 1 รูป แม้แต่ฆราวาสผู้ทรงฌานก็สามารถทำได้
ปริศนาธรรมที่ซ่อนอยู่ในวัตถุมงคลนี้ ท่านที่สนใจในวัตถุมงคลต้องทำการค้าหา ต้องทำความเข้าใจ และน้อมนำจิตระลึกถึงอานุภาพของคุณพระพุทธเจ้าจึงจะเข้าใจวัตถุประสงค์… เข้าใจศาสตร์แห่งมนตรา… เข้าใจมหิทธานุภาพแห่งพุทธาคมต่างๆสำแดงฤทธานุภาพปาฏิหาริย์ต่างๆ… จึงจะเกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์เป็นความมงคลแก่ตนเอง
แต่คนส่วนใหญ่ได้วัตถุมงคลมาก็จะอธิษฐานขอต้องการอภินิหารอย่างเดียว โดยไม่ได้ศึกษาหรือทำความเข้าใจ ความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆจะเกิดขึ้น เมื่อมีปัญญารู้เหตุปัจจัย ปัจจัยแห่งเหตุในการประกอบกรรมดี ปัจจัยแห่งเหตุที่ทำให้เกิดอำนาจของจิต เรียกว่าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศล
การสร้างวัตถุมงคลต้องอาศัยอำนาจจิตของผู้ทรงอภิญญา ทรงฌานแก่กล้าในการปรกเพ่งกระเเสจิต เป็นปริศนาธรรมให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา หากรู้และเข้าใจว่าอภิญญาต่างๆเกิดขึ้นด้วยรูปธาตุ นามธาตุ ประชุมรวมกันด้วยตัวแม่ธาตุใหญ่ รูปธาตุ ประกอบไปด้วย ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ นามธาตุ ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ประชุมรวมกัน ให้เกิดอำนาจจิต อำนาจที่มีฤทธิ์
แนวทางปฏิบัติให้เกิดอภิญญา เกิดพุทธคุณเป็นแนวทางตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ฌานอภิญญา วิปัสสนาญาณ เป็นวิธีปฏิบัติของการเข้าถึงโลกุตระธรรม เป็นลายแทงแห่งธรรม
ให้ทุกคนได้ศึกษาและเข้าถึงการปฏิบัติโดยง่าย การอาศัยเลขยันต์ วัตถุมงคลต่างๆให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นคำสอนแก่คนหมู่มาก เป็นกุศโลบายในการประกอบเหตุแห่งกรรมดีต่อคนหมู่มากโดยไม่ต้องอธิบายเยอะ
วัตถุมงคลที่ญาติโยมได้รับไปกันนั้นก็จะเป็นเครื่องแทนกำลังใจ ผู้ที่ได้รับให้รู้สึกมีกำลังใจมีความเชื่อและศรัทธา ในอานุภาพของพระพุทธเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอยู่กับผู้ใช้วัตถุมงคล
การจะได้รับสิ่งดีๆ หรือความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับเหตุ ของการประกอบกรรมดี โดยมากพิธีพุทธาภิเษกก็จะสวดกันนาน จึงมีการย่อหัวใจพระคาถาต่างๆ อักขระต่างๆ
เพื่อมอบไว้กับวัตถุมงคล เพื่อให้ผู้ได้รับมีเหตุในการประกอบกรรมดี ให้เป็นคาถากำกับสำหรับสวดคาถาแต่ละบท ก็ขึ้นกับผู้สร้างผู้ปรกเพ่งกระแสจิตจะบรรจุอักขระต่างๆ
การเพ่งกระแสจิตก็เลือกตามวัตถุประสงค์ตามการจัดสร้าง เช่นต้องการพุทธคุณด้านป้องกันภัย ก็จะใช้คาถา “ พระพุทธเจ้าชนะมาร ” เป็นต้น ส่วนผู้ปรกจะคัดย่อหัวใจพระคาถาให้เป็นบทสั้นๆ ก็ตามแต่หลักวิชาและการเลือกใช้ของแต่ละท่าน
ตัวอย่างที่มาของคาถา “ พระพุทธเจ้าชนะมาร” เช่น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ท้าววสวัตตีมารได้เข้ามาขัดขวาง พร้อมด้วยเหล่าเสนามารจำนวนมาก เพื่อให้พระองค์เกรงกลัวและลุกหนีไป แต่พระองค์ยังทรงประทับนิ่งไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้น
ทำให้พญามารโกรธมากจึงสั่งให้มารบริวารทั้งหลายเข้าทำร้าย พระพุทธองค์จึงระลึกถึงบารมี 30 ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญมาในทุกภพชาติ โดยขอให้แม่พระธรณีเป็นพยาน ระหว่างนั้นแม่พระธรณีจึงโผล่พ้นจากผืนดินขึ้นมา แล้วทำกิริยาบิดมวยผมจนน้ำท่วม
กระแสน้ำดังกล่าวได้พัดพามารทั้งหลายให้ออกไปจากบริเวณนั้น และในที่สุดพญามารวสวัตตีก็ยอมแพ้พระคาถา “ พระพุทธเจ้าชนะมาร ” ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก มีอานุภาพขจัดภัยร้ายทั้งปวง ขจัดอุปสรรคที่เปรียบได้กับมารผจญ และป้องกันสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
ส่วนคาถาสำหรับวัตถุมงคลยันต์ที่มีพุทธานุภาพด้านค้าขาย ด้านเมตตามหานิยม ด้านโภคทรัพย์ ด้านชื่อเสียง อำนาจบารมี ล้วนนำมาจากพุทธประวัติทั้งสิ้น แต่ละเรื่อง แต่ละส่วนตามแต่ปัญญาและอำนาจจิตของผู้ปรกและจัดสร้างเช่น พระอุปคุตปราบมาร พระศิวะลี พระอรหันต์แห่งโภคทรัพย์
การออกเสียงสวดหรือกล่าวขานอักขระด้วยจิตที่เป็นสมาธินี้ จะต้องน้อมจิตระลึกถึงคุณและอานุภาพของพระพุทธเจ้า เมื่อสวดคาถากำกับด้วยสติก็จะบังเกิดสมาธิ เกิดเป็นสัมมาสมาธิ
เกิดเป็น “ เหตุให้มรรคมีองค์ 8 ครบบริบูรณ์ ”โดยไม่รู้ตัว เมื่อจิตเป็นสมาธิเป็นองค์ฌาน อำนาจแห่งจิตก็จะบังเกิดขึ้น เหตุแห่งกรรมดีก็เกิดขึ้น กุศลจิตก็เกิดขึ้น เมื่อประกอบเหตุแห่งกรรมดีอยู่เป็นนิจ ผลของกรรมดีก็ย่อมบังเกิดตามมา
เมื่อเข้าใจการสร้างวัตถุมงคลพร้อมทั้งขั้นตอนพิธีกรรม และที่มาของอักขระมนต์ตรา การเชิญคุณพระพุทธเจ้าเพ่งกระแสจิตปลุกเสกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว การจะบูชาหรือไม่ก็ขึ้นกับความเข้าใจและความปรารถนาของแต่ละท่านครับ