อยากประสพความสำเร็จในชีวิตทุกด้าน

      อยากประสบความสำเร็จในชีวิตทุกด้านได้มากๆ แค่ศึกษาและทำความเข้าใจ อริยสัจ 4 ในหนังสือธรรมนิมิตนี้ และศึกษามรรคมีองค์ 8 ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้

      เพียงเท่านี้ก็จะเป็นแนวทาง ให้ชีวิตเดินสู่ความสำเร็จได้ทั้งหมด ผมอยากอธิบายเพิ่มเติม ในหลักวิทยาศาสตร์ที่ผมได้เรียนรู้และฝึกฝนมา และทำให้ตัวผมเอง ประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จากประสบการณ์ของผมที่เป็นนักธุรกิจตั้งแต่อายุ 24 ปี

      ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว “ ผมรู้และเข้าใจได้ทันทีว่าการสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทำให้ผมประสบความสำเร็จได้ ” ผมจะอธิบายให้ฟังครับว่า ทำไมแค่การสวดมนต์และนั่งสมาธิ ส่งผลต่อความสำเร็จของชีวิตได้ถึงเพียงนี้

      ผมจะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์นะครับ ไม่มีอภินิหารใดๆ ไม่มีเรื่องโลกทิพย์ อภิญญาใดๆทั้งสิ้น วิทยาศาสตร์ล้วนๆ

      การสวดมนต์ เมื่อเราได้ ลั่นวาจาว่าจะสวดมนต์ และ ปฏิบัติให้สำเร็จ นั่นหมายถึง สัจจะวาจาของเราได้เกิดขึ้นแล้ว… ขณะที่เราเริ่มสวดมนต์ ตั้งใจสวด วิริยะอุตสาหะได้เกิดขึ้นแล้ว…

      ขณะที่ตาดูหูฟัง สมองคิดมือสัมผัสไปด้วยนั้น สติได้เกิดขึ้นแล้ว… เมื่อสติเกิดขึ้น ความระลึกรู้เกิดขึ้นแล้ว… และรู้ตัวอยู่ว่ากำลังสวดมนต์ สัมปชัญญะได้เกิดขึ้นแล้ว… สวดอย่างต่อเนื่องด้วยใจจดจ่อสมาธิได้เกิดขึ้นแล้ว… ขณะที่สวดไปจนจบ ปวดเมื่อยบ้าง แต่ก็สวดจนจบ อุเบกขา คือความอดทนอดกลั้นได้เกิดขึ้นแล้ว…

      จะเห็นว่า แค่เริ่มสวดมนต์อย่างมีวินัยทุกวัน เป็นการฝึกฝนตนเอง ให้มี สัจจะวาจา มี ความวิริยะอุตสาหะ มี สติสัมปชัญญะ มี สมาธิ และมี ความอดทนอดกลั้น ผมฝึกฝนอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะครอบงำจิตใจของผม

      ทำให้เป็นคนที่มุมานะพยายาม มีสติในการทำอะไรก็ตาม มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีสมาธิในการทำงานในการเรียน และมีความอดทนอดกลั้นต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความสำเร็จ จึงเกิดขึ้นได้ จากการที่เราฝึกทำแบบนี้ทุกวัน

      มันเป็นหลักการง่ายๆที่เราฝึกจิตใจ ให้เป็นคนแบบนี้ การใช้ชีวิตจึงเกิดผลแห่งความสำเร็จได้แบบนี้ เป็นหลักวิทยาศาสตร์ แบบ หนึ่งต่อหนึ่ง…มีเหตุจึง เกิด ผล สร้างเหตุจึงเกิดผลที่ต้องการ

      ส่วนการนั่งสมาธิของผมได้สร้างกระบวนการที่เรียกว่า ปัญญาญาณเกิดขึ้น ในทางวิทยาศาสตร์มีการศึกษามากมายว่า เมื่อมีการฝึกสมาธิ สมอง จะมีความถี่ที่ลดลง เมื่อลดลงและทำงานสอดประสานทั้งสมองซีกซ้ายและซีกขวา

      เรียกว่า เกิดการ Synchronization คือ คลื่นของสมอง ซีกขวา และ ซีกซ้าย จะสอดประสานกันในขณะที่เป็นสมาธิ กระบวนการเหล่านี้จะเกิดเป็นขั้นเป็นตอน

      กระบวนการแรก เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตนิ่ง Meditation ก็จะเกิดกระบวนการที่ 2 ที่เรียกว่า “ Perception เป็นกระบวนการรับรู้ข้อมูล ” เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็เปรียบเสมือนน้ำในแก้วที่ใส

      พื้นที่ของสมองก็จะใหญ่ขึ้น เกิดกระบวนการรับข้อมูล… ได้มากขึ้น เกิดกระบวนการจดจำ… ได้มากขึ้น เก็บข้อมูลได้มากขึ้น และเก็บได้อย่างเป็นระเบียบ คนที่ฝึกสมาธิ ก็จะกลายเป็น คนที่ความจำดี เก็บข้อมูลได้มาก ก็จะเป็นที่มีความรู้มาก

      เมื่อมีความรู้มากและความจำดี ก็จะกลายเป็นคนเก่งโดยปริยาย หากฝึกอย่างต่อเนื่อง กระบวนการที่ 3 ก็จะเกิดขึ้น เรียกว่า “ Intution” เป็นกระบวนการ ที่เกิด “ปัญญาญาณ” เกิดขึ้น ขณะที่คลื่นสมองซีกซ้ายและซีกขวาเกิดการ Synchronization

      จะเกิดการ หยั่งรู้ คือการได้คำตอบจากคำถาม ต่างๆโดยการที่สมอง จะไปดึงข้อมูล ที่เก็บสะสมไว้อย่างเป็นระเบียบ นำออกมาแปลความเป็นคำตอบของคำถามต่างๆได้อย่างรวดเร็วและเป็นอัตโนมัติ

      เหมือนที่เราเห็นกันว่าทำไมคนนี้ถึง คิดได้… ถึง คิดเก่ง… ถามอะไรก็รู้ไปหมด ศึกษาเรื่องอะไรก็สามารถศึกษาได้และเรียนรู้ได้ ในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ปัญญาญาณ เมื่อเรามีการฝึกสมาธิบ่อยๆ

      สมองก็จะเกิด Synchronization ตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนว่า เป็นคนฉลาด คิดได้ทุกเรื่อง เข้าใจได้ทุกเรื่อง ศึกษาได้ทุกเรื่อง จดจำได้มากมาย สามารถแก้ปัญหาได้ เกิดการคิดถูก ทำถูก คิดอย่างมีตรรกะ เป็นเหตุผลให้

      “ การฝึกสมาธิ ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต” รวมไปถึง เมื่อจิตนิ่งแล้วเกิดสมาธิแล้ว จะ เกิดการขยายขอบเขตการรับรู้ มีการศึกษาด้านพลังจิตมากมาย ในประเทศรัสเซีย ในยุโรปและอเมริกา

      เราสามารถขยายขอบเขตของการรับรู้ปกติ ได้ด้วยการฝึกสมาธิ แต่ในทางพระพุทธศาสนา จะเรียกว่า อภิญญา ซึ่ง “ การมีอภิญญา มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว คือการขยายขอบเขตการรับรู้ ”

      ยกตัวอย่าง มนุษย์ปกติ เราจะได้ยินเสียง แค่ 20 Hz ถึง 20,000 Hz ถ้าความถี่เสียง ไม่อยู่ในช่วงนี้ เราก็จะไม่ได้ยิน แต่ถ้าเป็นสุนัขสามารถได้ยินเสียงในขอบเขตที่กว้างไกลกว่ามนุษย์ ถึง 4 เท่า ทั้งขอบบนและขอบล่าง

      ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถได้ยิน แต่การฝึกสมาธิจนได้ฌาน ที่เรียกว่าอภิญญา ทิพยโสต ก็จะได้ยินเสียงที่มีความถี่ และแอมพลิจูด เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเสียงมดเดิน เสียงแมลงบินเสียงของโลกทิพย์

      ฉะนั้นการขยายขอบเขตการรับรู้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่สามารถปฏิบัติได้ และในทางพระพุทธศาสนาก็เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ได้เช่นกัน ต้องอาศัยการฝึกฝน ให้ได้ฌาน และอภิญญา ก็จะสามารถ ขยายขอบเขตการรับรู้

      ในเรื่องของตาทิพย์ ทิพยจักษุ เป็นการมองเห็น ทะลุปรุโปร่งไม่มีอะไรขวางกั้น ก็เปรียบเสมือนเป็นความถี่แสงที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับรังสีเอกซ์เรย์ หรือ รังสีคอสมิก

      มนุษย์ปกติจะมองเห็นแสงในช่วงความถี่ของแสงขาว คือ ม่วง ครามน้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แต่หากมีการฝึกสมาธิจนได้อภิญญาที่เรียกว่า “ ทิพพจักขุ ” ก็จะเป็นการขยายขอบเขตการรับรู้

      เห็นได้ทะลุปรุโปร่ง ในทุกๆที่ อันนี้ก็เป็นตัวอย่าง การอธิบายให้เข้าใจ ว่าหากมีการฝึกสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว จะเกิดผลอย่างไร ต่อตัวเรา และสามารถ เรียนรู้ อย่างสร้างสรรค์ ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ทุกด้าน ได้โดยง่าย